จิตวิทยา
ความหมายและความเป็นมาของจิตวิทยา
วิชาจิตวิทยากำเนิดเริ่มต้นมาจากต่างประเทศเมื่อหลายปีมาแล้ว คำว่าจิตวิทยา Psychology มีรากศัพท์มาจาก Psyche - - - - - - - Psycho = วิญญาณ (Soul)
Logos - - - - - - - - logy = การศึกษา Psycho + logy - - - - - - - - Psychology
จึงหมายถึง วิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 | หลังคริสต์ศตวรรษที่ 19 |
จิตวิทยา – วิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต (Psychology) วิลเฮล์น แมกซ์วุ้นต์ ( Wilhelm Max Wundt ) เป็นคนที่เปิดห้องทดลองจิตวิทยาแห่งแรกของโลก ที่มหาวิทยาลัย ไลป์ซิก ( Leipzing ) จึงได้สมญานามว่า บิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง | จิตวิทยา คือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์และสัตว์ (Psychology is the study of Bahavior ) วัตสัน ( Wetson ) เป็นคนแรกที่ให้ความหมาย จิตวิทยาเป็น พฤติกรรม ( Bahavior ) จนมีความหมายมาถึงปัจจุบันว่า วิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์และสัตว์ จึงได้สมญานามว่า บิดาแห่งพฤติกรรม บิดาแห่งจิตวิทยายุคใหม่ |
สาขาของจิตวิทยา
1. จิตวิทยาสังคม (Social Psychology ) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ หรือกับสังคม
2. จิตวิทยาพัฒนาการ ( Developmental เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่างๆ ของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา
3. จิตวิทยาการเรียนการสอน ( Psychology in Teaching and Learning ) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเรียนการสอนและสิ่งที่ส่งเสริมให้บุคคลได้เกิดการเรียนรู้
4. จิตวิทยาคลีนิค ( Clinical Psychology ) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุพฤติกรรมผิดปกติของมนุษย์ และวิธิการบำบัดรักษา
5. จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning ) เป็นการศึกษาธรรมชาติการเรียนรู้ และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
6. จิตวิทยาประยุกต์ ( Applied Psychology ) เป็นการนำหลักการต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาใช้ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ เช่น ธุรกิจ อุตสาหกรรม การเมือง การติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ
7. จิตวิทยาทั่วไป ( General Psychology ) เป็นการนำเอาหลักทั่วไป ทางจิตวิทยาไปใช้เป็น พื้นฐานทางการศึกษา จิตวิทยาสาขาอื่น ๆ และในการประกอบอาชีพทั่ว ๆ ไป หรือใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน
จิตวิทยาการศึกษา ( Education Psychology) วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเรียนการสอน โดยเน้นพฤติกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาความสามารถของผูเรียน ตลอดจนวิธีการนำความรู้ ความเข้าใจ ที่เกิดขึ้นประยุกต์ใช้ในการสอนให้ได้ผลดี
จิตวิทยาการศึกษา ความมุ่งหมายและประโยชน์ มีดังนี้
1. จุดมุ่งหมาย จิตวิทยาการศึกษาเน้นในเรื่องของการเรียนรู้ และการนำไปประยุกต์ในการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายการเรียนรู้อย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายนี้ต้องครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความคิด ด้านอารมณ์ และด้านการปฏิบัติ
2. ด้านการเรียนการสอน ช่วยให้ครูเข้าใจเด็ก สามารถจัดการสอนให้สอดคล้องกับความ ต้องการ สนใจความถนัดเชาวน์ปัญญาของเด็ก
3. ด้านสังคม ช่วยให้ครู นักเรียน เข้าใจตนและผู้อื่น ปรับปรุงพฤติกรรมตนเอง
4. ปกครองและการแนะแนว ให้ครูเข้าใจเด็กมากขึ้น อบรมแนะนำ ควบคุมดูแลในเด็กอยู่ในระเบียบ เสริมสร้างบุคลิกภาพ ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
พฤติกรรม ( Behavior)
การกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าผู้อื่นจะสังเกตการกระทำได้หรือไม่ก็ตาม การยิ้ม การหัวเราะ ดีใจ เสียใจ การคิด การฝัน การเต้นของหัวใจ พฤติกรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท
พฤติกรรมภายนอก ( Overt Bahavior) | พฤติกรรมภายใน ( Covert Bahavior) |
พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้โดยตรง หรือใช้เครื่องมือวัดได้ เช่น การพูด การเดิน ฯ ล แบ่งได้ 2 ประเภท 1. พฤติกรรมโมลาร์ ( Molar B.) วัดได้โดยตรงจากประสาทสัมผัส ทั้ง 5 เช่น การเดิน การนั่ง 2. พฤติกรรมโมเลกุล ( Molecula B.) ไม่สามารถวัดได้โดยประสาทสัมผัส แต่วัดได้โดยเครื่องมือ เช่น วัดการเต้นของหัวใจ | พฤติกรรมที่ไม่สามารถวัดโดยตรง และเครื่องมือก็ไม่สามารถวัดได้ ต้องอาศัยการอนุมาน จากพฤติกรรมภายนอก เช่น การจำ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เจตคติ |
แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1.กลุ่มโครงสร้างจิต (Structuralism) - วุ้นด์ (Wilhelm max Wundt)
- ทิชเชนเนอร์ (Titchener)
- เฟชเนอร์ ( Fechner)
วุ้นด์ (Wilhelm max Wundt) เป็นคนแรกที่ตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาขึ้น ที่เมือง ไลป์ซิก เป็นการเริ่มต้นการศึกษาจิตวิทยาตามวิธีการวิทยาศาสตร์ จึงได้ชื่อว่าบิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง Wundt เชื่อว่าจิตมนุษย์ประขึ้นด้วยลักษณะเป็นหน่วยย่อย ๆ เรียกว่า จิตธาตุ (Mental element) 2 ส่วน คือ
1. การสัมผัส (Sensation)
2. ความรู้สึก (Feeling) ต่อมา ทิชเชนเนอร์ (Titchener)ได้เพิ่มโครงสร้างจิตอีก 1 ส่วน คือ
3. จิตนาการ (Image)
กลุ่มโครงสร้างจิตจะวัดและบันทึกกระบวนการต่าง ๆ โดยวิธีที่เรียกว่า Introspection (การสังเกตพฤติกรรมที่เกิดกับตนเอง แล้วอธิบายเกี่ยวกับปฏิกิริยาของตนต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นทางประสาทสัมผัส ศึกษาจิตสำนึก (Consciousness)แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา จิตของคนแยกเป็นส่วน ๆ ทำให้เกิดแนวคิดว่า ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ส่วนไหนมีความสามารถหรือทักษะด้านใด ก็ฝึกส่วนนั้นมากเป็นพิเศษ เช่น ครูต้องการให้นักเรียนผู้นั้นมีความจำ ก็ให้ผู้เรียนเรียนสิ่งที่ต้องอาศัยความจำ
2. กลุ่มหน้าที่จิต (Functionalism)
- จอน์ ดิวอี้ (John Dewey)
- วิลเลียม เจมส์ (Williaam James)
- วู้ดเวิร์ธ ( R.S.wOODWORTH)
กลุ่มหน้าที่จิต พยายามหาคำตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าสัตว์ และยังเน้นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์
จอน์ ดิวอี้ (John Dewey) มีความเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการกระทำ (Learning by doing) ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญในการปรับตัวของมนุษย์
วิลเลียม เจมส์ (Williaam James) สัญชาตญาณเป็นส่วนที่ทำให้เราปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
วู้ดเวิร์ธ ( R.S.wOODWORTH) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา วิธีการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์มากที่สุด วิธีการเรียนการสอนแบบแก้ปัญหา
3. กลุ่มพฤติกรรมนิยม ( Behavior) - วัตสัน (John B.Watson)
- พาฟลอฟ (Ivan P.Pavlov)
- ธอร์นไดค์ (Edward L.Thorndike)
- ฮัล (Clark L.Hull)
- โทลแมน (Edward C.Tolman)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ศึกษาเฉพาะ พฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ พฤติกรรมทุกอย่างต้องมีสาเหตุ สาเหตุมาจากสิ่งเร้า (Stimulus) เมื่อมากระตุ้นอินทรีย์ จะมีพฤติกรรมแสดงออกมา เรียกว่าการตอบสนอง(Respones)
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา เป็นแนวทางในการควบคุมพฤติกรรมและการจัดสถาพการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมให้กับผู้เรียน
4. กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) - ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
- แอดเลอร์ (Alfred Adler)
- จุง (Carl G.Jung)
ตามแนวคิดของ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) แบ่งลักษณะจิตเป็น 3 ส่วน
1. จิตสำนึก (Conscious) แสดงความรู้ตังตลอดเวลา
2. จิตใต้สำนึก (Subconscious) รู้ตัวตลอดเวลาแต่ไม่แสดงออกในขณะนั้น
3. จิตไร้สำนึก (Unconscious)
ฟรอยด์เน้นความสำคัญเรื่อง จิตใต้สำนึก (Subconsious) ว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ตามแนวคิดของ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจต่าง ๆ และการศึกษาเรื่องพัฒนาบุคลิกภาพกับโครงสร้างของบุคลิกภาพจิตของมนุษย์แยกเป็น 3 ลักษณะ
1. (Id) ส่วนที่ยังไม่ได้ขัดเลา แสวงหาความสุขความพอใจโดยถือตัวเองเป็นหลัก
2. (Superego) ส่วนที่ได้มาจากการเรียนรู้เป็นส่วนที่คิดถึงผิดชอบชั่วดี คิดถึงคนอื่นก่อนตัดสินใจอะไรลงไป
3. (ego) ส่วนที่เป็นตัวตัดสินใจโดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงในสภาพการณ์นั้น ๆ ทำความประนีประนอมระหว่างส่วนที่ยึดความสุขส่วนตัว กับส่วนที่รู้จักผิดชอบชั่วดี
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา ใช้อธิบายเรื่องอิทธิพลของการพัฒนาในวัยเด็กที่มีผลต่อบุคลิกตอนโต
5. กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology)
- เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer)
- คอฟกา (Kurt Kofga)
- เลอวิน (Kurt Lewin)
- โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)
Gestalt นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าต้องศึกษาพฤติกรรมทางจิตเป็นส่วนรวมจะแยกศึกษาทีละส่วนไม่ได้ ถ้าจะให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ต้องมีประสบการณ์เดิม พฤติกรรมการเรียนรู้มี 2 ลักษณะ
1. การรับรู้ (Perception) เป็นพื้นฐานให้เกิดการเรียนรู้
2. การเรียนรู้เป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง การแก้ปัญหาของคนเราขึ้นอยู่กับ การหยั่งเห็น (Insight) เมื่อมีการการหยั่งเห็นเมื่อใดก็สามารถแก้ปัญหาได้เมื่อนั้น
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา ช่วยในเรื่องการรับรู้และการเรียนรู้ของคนและนำไปใช้ได้มากในการจัดการเรียนการสอน
6. กลุ่มมนุษย์นิยม (Humanism)
- คาร์ล โรเจอร์ (Carl R.Rogers)
- มาสโลว์ (Abrahaham H. Maslow)
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory lening)
การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมเป็นพฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวรอันเป็นผลมาจากประสบการณ์
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจมี 3 ด้านดังนี้ (ตามหลัก Bloom)
1. พฤติกรรมด้านสมอง (Cognitive Domain) ได้แก่ ความรู้ – จำ ความเข้าใจ
2. พฤติกรรมด้านจิตใจ (Affective Domain) ได้แก่ อารมณ์ ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ
3. พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory leaning) แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ
1. ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Associative) การเรียนรู้โดยมีสิ่งเร้ามาเชื่อมโยงทำให้เกิดการตอบสนองขึ้น แบ่ง 2 กลุ่ม - ทฤษฎีความเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนอง (Connectionism)
นักทฤษฎี Thorndike ,Guthrie ,Hull - ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning)
แบบคลาสสิค (Classical) ได้แก่ Pavlov แบบการกระทำ (Operant) ได้แก่ Skinnre | 1. ทฤษฎีความเข้าใจ (สนาม) ได้แก่ Gestalt - เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer) - คอฟกา (Kurt Kofga) - เลอวิน (Kurt Lewin) - โคเลอร์ (Wolfgang Kohler) |
ทฤษฎีเชื่อมโยง Thorndike หรือเรียกว่า ทฤษฎีลองผิดลองถูก (Trial and Error) ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
การทดลอง เอาแมวหิวใส่กรง
สิ่งเร้า S R2 S R R3 การตอบสนอง
กฎการเรียนรู้ 3 กฎ
1. กฎแห่งผล (Law of Effect) คือ การเรียนรู้จะเกิดผลดีถ้ามีการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนองในลักษณะที่พอใจ
2. กฎแห่งการฝึก (Law of Exercise) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่ออินทรีย์ได้รับการฝึกฝนบ่อยครั้ง
1. กฎแห่งการใช้ (Law of Used) มีการกระทำหรือใช้บ่อย ๆ การเรียนรู้จะยิ่งคงทนถาวร
2. กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused) ไม่มีการกระทำหรือไม่ใช้การเรียนรู้ก็อาจเกิดการลืมได้
3. กฎแห่งความพร้อม ((Law of Leadines)การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนพร้อมที่จะเรียน
หลักการที่สำคัญของทฤษฎีนี้ ถือว่า รางวัลเป็นสิ่งที่สำคัญทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ วิธีการให้รางวัลสมควรให้ผู้เรียนให้ทันทีที่ได้กระทำพฤติกรรมนั้น
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข แบบการกระทำ (Skinner’ s Operant Conditioning)
การทอลอง เอนหนูใส่กล่องเก็บเสียงฝากล่องมีคานยื่นมา เมื่อหนูกดคานจะบังคับอาหารให้หล่นลงมา
หนูต้องทำจึงได้รับ R (การกดคาน) S (อาหาร)
การเสริมแรง เป็นหลักในการนำมาสร้างบทเรียนโปรมแกรม หรือบทเรียนสำเร็จรูป (จะมีคำถามและคำตอบ)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข แบบแบบคลาสสิค (Classical Conditioning) ของ Pavlovการทดลอง เอาหมาที่กำลังหิวยืนบนแท่นมีที่รั้งไม่ให้สุนัขเคลื่อนที่ เจาะรูเล็ก ๆ ที่แก้มเอาหลอดยาใส่ท่อน้ำลาย ผลการทดลองของ ฟาลอฟ ประกอบด้วย
วางเงื่อนไข แบบแบบคลาสสิค = สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข + สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข = การเรียนรู้
ถ้าจะให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีต้องมีการวางเงื่อนไขพร้อม ๆ กัน คือให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขในเวลาพร้อมกัน
กฎการเรียนรู้ 4 กฎ
1. กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction) การตอบสนองที่เคยปรากฏจะไม่ปรากฏถ้านำสิ่เร้านั้นออก
2. กฎการคืนสภาพเดิม (Law of Spontaneous recovery) หลังจากที่ลบพฤติกรรมนั้นไปแล้วจะไม่เกิดพฤติกรรมที่วางเงื่อนไขนั้นอีก แต่ระยะหนึ่งหรือบางครั้งก็อาจเกิดพฤติกรรมนั้นได้อีก
3. กฎการสรุปความเหมือน (Law of Generalization) ถ้ามีสิ่งเร้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสิ่งเร้าที่มีการวางเงื่อนไข อินทรีย์จะตอบสนองเหมือสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น
4. กฎการจำแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) เป็นลักษณะที่ผู้เรียนสามารถแยกแยะสิ่งที่แตกต่างกันได้เช่น งูเห่ามีพิษ งูสิงห์ไม่มีพิษ
ฉะนั้นหลักการสำคัญ Classical Conditioning จะเน้นปฏิกิริยาสะท้อนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น และนำเอาปฏิกิริยาสะท้อนเหล่านั้นมาวางเงื่อนไขคู่กับ สิ่งเร้าต่าง ๆ สิ่งเร้าต่าง ๆ จะทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ขึ้น
กฎการเรียนรู้ของกลุ่ม กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology)
การเรียนรู้เรียนที่เน้นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย การเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ
1. การรับรู้ (Perception) การแปลความหมายจากการสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัส 5 ส่วน หู- ตา – จมูก – ลิ้น – กาย
2. การหยั่งเห็น (Insight) การเกิดความคิดขึ้นมาทันทีทันใดในขณะประสบปัญหา โดยการมองเห็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก จนแก้ปัญหาได้
สรุปแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ แต่ละท่านได้ดังนี้
1. การเรียนรู้แบบหยั่งรู้ (Insight Learning) เจ้าของทฤษฎีคือ โคเลอร์ (Wolfgang Kohler) โดยจะรวมปัญหาแล้วจึงแยกเป็นข้อย่อย ก็จะเกิดความคิดขึ้นมาทันที ที่เรียกว่าการหยั่งเห็น
การหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นรวดเร็วขึ้นอยู่กับ
1. มีแรงจูงใจ , 2. มีประสบการณ์เดิม ,3.มองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับปัญหาได้
2. หลักการเรียนรู้ของ เลอวิน (Kurt Lewin) ได้แยกมาตั้งทฤษฎีใหม่ ชื่อว่า ทฤษฎีสนาม (Field Theory) การเรียนรู้เกิดจากการสร้างแรงขับให้เกิดขึ้น แล้วพยายามชักนำพฤติกรรมการเรียนรู้ไปจุดหมายปลายทาง (goal) เพื่อตอบสนองแรงขับที่เกิดขึ้น
การถ่ายโยงการเรียนรู้ (Transfer of Learning)
การเรียนรู้อย่างหนึ่งแล้วมีผลต่อการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่ง อาจมีผลทางบวก ลบ ก็ได้ เช่น การเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องเลขยกกำลัง ก็สามารถถ่ายโยงไปมีผลกับเรื่องแยกตัวประกอบได้ การถ่ายโยงจึงเป็นการที่บุคคลนำสิ่งหนึ่งไปใช้กับอีกสิ่งหนึ่งการถ่ายโยงการเรียนรู้มี 2 ประเภท
1. การถ่ายโยงการเรียนรู้ประเภทบวก (Positive Transfer of Learning) การเรียนรู้สิ่งหนึ่งมีผลกับการเรียนรู้อีกสิ่งหนึ่งในทางดีขึ้น
- เรียนคณิตศาสตร์เก่งจะนำไปสู่การเรียน ฟิสิกส์ เคมี ได้ดี
- การเตะบอล นำไปสู่การเล่นทีม
1. การถ่ายโยงการเรียนรู้ประเภทลบ (Negative Transfer of Learning) การเรียนรู้สิ่งหนึ่งมีผลกับการรู้อีกสิ่งหนึ่งในทางเลวลง
- การขับรถเมืองไทย เลนซ้าย ไปอีกประเทศหนึ่งต้องขับเลนขวา ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
ปัจจัยเสริมการเรียนรู้
แรงขับ (Drive) แรงผลักดันที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเพื่อให้ร่ายกายแสดงพฤติกรรมออกมา แรงขับเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกาย
แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
o แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) เป็นแรงขับที่เกิดจากสิ่งเร้าภายในมีความสำคัญมาก เช่น หิว กระหาย อยากเรียน
o แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive) เป็นแรงขับที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ต้องการมีชื่อเสียง ต้องการรางวัล
ความพร้อม (Readiness) ความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ พร้อมที่จะตอบสนองกับสิ่งที่มาเร้า
- ทางร่างกาย ได้แก่ วุฒิภาวะ (Maturity) - ทางจิตใจ ได้แก่ ความพอใจ
วุฒิภาวะ (Maturity) การบรรลุถึงขั้นความเจริญเติบโตเต็มที่ ในระยะใดระยะหนึ่ง และพร้อมที่จะประกอบกิจกรรมได้พอเหมาะกับวัย
องค์ประกอบที่ทำให้เด็กเกิดความพร้อมในการเรียน
1. วุฒิภาวะ (Maturity) การเจริญทั้งร่างกาย จิตใจ
2. ประสบการณ์เดิม (Experience)
3. การจัดบทเรียนของครู โดยดูพื้นฐานของเด็กว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบางมากน้อยเพียงใด
4. การสอนของครู ครูควรสอนเมื่อนักเรียนมีความพร้อม และครูเป็นผู้สร้างความพร้อมให้กับนักเรียน
1. ลำดับขั้นความต้องการ ความต้องการ แบ่งเป็น 2 ประเภท
- ความต้องการทางกาย ต้องการอาหาร น้ำ เพศ
- ความต้องการทางจิตใจ ความรัก
มาสโลว์ (Maslor) ความต้องการของมนุษย์แบ่งได้ 5 ขั้น
1. ความต้องการทางร่างกาย หิว กระหาย เพศ
2. ความต้องการทางความปลอดภัย
3. ความต้องการทางความรัก
4. ความต้องการทางเกียรติ ชื่อเสียง
5. ความต้องการในการยอมรับความสามารถ
1. อารมณ์และการปรับตัว (Emotion and Adjustment) เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการถูกกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเร้าภายใน แรงขับ สิ่งเร้าภายนอก อารมณ์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ อารมณ์ บวก พอใจ ดีใจ อารมณ์ทางไม่ดี โกธร เสียใจ อิจฉา ความรุนแรงของอารมณ์ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อากาศเย็นทำให้อารมณ์ดี สภาพร่างกาย ร่างกายสมบูรณ์ก็ทำให้อารมณ์ดี ทัศนคติ แนวโน้มที่ชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมทำให้อารมณ์เสียได้ง่าย
นักจิตวิทยาได้กล่าวถึงกลวิธีในการปรับตัว (Defense mechanism) มีหลายวิธีการ สรุปได้ดังนี้
การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง (Rationalization) ไม่ยอมรับตนเองโดยหาเหตุผลมาลบล้าง
- การอ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ
- องุ่นเปรี้ยว
- มะนาวหวาน
- การโยนความผิดไปให้ผู้อื่น (Projection) เอาความผิดของคนอื่นมาลบล้างความผิดของตน
- รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
- สอบตกแล้วว่าอาจารย์สอนไม่ดี
การปรับตัวโดยหาสิ่งอื่นมาแทนที่ (Substitution)
- การชดเชย (Compensation)
- การทดแทน (Sublimation)
การชดเชยไม่ต้องแทนสิ่งที่เหมือนกัน การทดแทนแทนด้วยสิ่งที่เหมือนกัน
1. การเก็บกด (Repression) วิธีการลืมเหตุการณ์หรือความคิดที่ไม่ถูกต้องที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
2. การย้ายอารมณ์ (Displacement) เป็นการการย้ายอารมณ์ที่ไม่พอใจจากสิ่งหนึ่งไปสิ่งหนึ่ง โกธรกับผัวที่บ้า ไประบายอารมณ์กับนักเรียน
1. การจูงใจ (Motivation) การกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การให้รางวัล
การจูงใจประกอบด้วย 2 ส่วน
- แรงจูงใจ (Motivation) สภาวะใด ๆ ก็ตามที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา
- สิ่งจูงใจ (Incentive) รางวัล
การจูงใจจะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับ
1. แรงจูงใจภายใน เป็นพฤติกรรมที่บุคคลต้องการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างด้วยตนเอง เช่น ความต้องการ ความสนใจ ทัศนคติ
2. แรงจูงใจภายนอก เป็นพฤติกรรมที่บุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก เร้าให้เกิดความต้องการ เช่น เงินเดือน คำชมเชย
1. ทัศนคติ และความสนใจ ความพร้อมของร่างกาย จิตใจที่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ใด ๆ ด้วยการเข้าหาหรือถอยหนี แบ่งเป็น 2ประเภท
1. ทัศนคติทางบวกหรือทัศนคติที่ดี แนวโน้มที่จะเข้าหาสิ่งเร้า หรือสถานการณ์นั้น ๆ ด้วยความชอบ พอใจ
2. ทัศนคติทางลบหรือทัศนคติไม่ดี แนวโน้มที่จะถอนหนีสิ่งเร้า หรือสถานการณ์นั้น ๆ ด้วยความไม่ชอบ ไม่พอใจ
ลักษณะทั่วไปของทัศนคติ
1. ทัศนคติที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือได้รับประสบการณ์ ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด
2. ทัศนคติจะเป็นตัวชี้ในการแสดงพฤติกรรม
3. ทัศนคติไม่สามารถถ่ายทอด จากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งได้
4. ทัศนคติสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ทัศนคติจึงเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ของเด็ก
ความสนใจ (Interest) มีลักษณะใกล้เคียงกับทัศนคติ แต่ความสนใจเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติ ความสนใจเป็นความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ทัศนคติทางบวก) ความสนใจของนักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันเพราะ ความต้องการ ถนัด สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
การสร้างความสนใจ
1. ศึกษาความต้องการของผู้เรียน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียน สื่อต่าง ๆ
2. สำรวจพื้นฐานความถนัด
3. จัดห้อง สภาพแวดล้อมให้น่าสนใจ
4. เสริมแรงโดยพยายามให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จ
5. ชี้ทางความก้าวหน้าในการทำงาน เพื่อให้เขามีความสนใจ
1. มโนภาพ (Concept formation) นักจิตวิทยาเรียกต่างกันไป ความคิดรอบครอบ มโนทัศน์ สังกับConcept การเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. การจำ (Memory) ความสามารถในการสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับจากการเรียนรู้ แล้วสามารถถ่ายทอดในรูปของการระลึกได้ การจำต้องประกอบด้วยพฤติกรรมต่าง ๆดังนี้
1. การเรียนรู้
2. ความสามารถในการสะสม รวบรวมประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการเรียนรู้
3. ความสามารถในการถ่ายทอดได้ สามารถเล่า ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
4. รู้สึกได้
5. จำได้
1. เชาว์ปัญญาและความถนัด
เชาว์ปัญญา (Intelligence) สมรรถภาพของสมองที่แสดงความสามารถด้านความจำ การคิดอย่างมีเหตุผลAlfres Brnet อัลเฟรด บิเนท์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเชาว์ปัญญา เป็นคนแรกที่สร้างแบบทดสอบเชาว์ปัญญา
I.Q. (Intelligence Quotient) เกณฑ์ภาคเชาวน์ คือ ความสามารถในการศึกษา อาชีพ การปรับตัว
140 ขั้นไป = ฉลาดที่สุด
121 – 140 = อัจฉริยะ
111 - 120 = ฉลาดมาก
91 – 90 = ทึบ
71 – 80 = คาบเส้น
51 – 70 = ปัญญาอ่อนเล็กน้อย
26 – 50 = ปัญญาอ่อน
0 – 25 = โง่บัดซบ