วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทความคณิตศาสตร์ โดยนางสาวฐิติกานต์ กันตรง

ปัญหาการเรียนรู้เรื่องเศษส่วนของนักเรียน
                                                                ฐิติกานต์  กันตรง

                การเรียนการสอนในชั้นเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เนื้อหาเรื่องเศษส่วนนั้น
เป็นเนื้อหาที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่งในระดับประถมศึกษา เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนเนื้อหาเรื่องต่าง ๆ ของคณิตศาสตร์เช่น เรื่อง ทศนิยม ร้อยละและบทประยุกต์ หรือเนื้อหาในระดับที่สูงขึ้น เช่น ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในเรื่องสมการ อัตราส่วนและร้อยละ เศษส่วนพหุนาม เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายของการเรียนเรื่องเศษส่วนคือ มุ่งให้นักเรียนมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นพื้นฐานของเศษส่วนได้แก่ เศษส่วนที่มีค่าเท่ากัน เศษส่วนอย่างต่ำ การเปรียบเทียบเศษส่วนและการเรียงลำดับเศษส่วน   นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นให้นักเรียนมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการบวก การลบ การคูณและการหารเศษส่วน สำหรับเรื่องโจทย์ปัญหาเศษส่วนนั้น มุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์โจทย์หาคำตอบและแสดงวิธีทำ พร้อมทั้งตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคำตอบที่ได้ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2549 : 137 - 138)
                ปัญหาต่างๆ ที่ครูผู้สอนมักจะพบอยู่เสมอ นั่นคือ นักเรียนขาดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความหมายของเศษส่วนและการดำเนินการของเศษส่วน เช่น
                1. การเขียนรูปภาพแทนเศษส่วน นักเรียนเกิดความสับสนระหว่างการเขียนรูปภาพแทน
เศษส่วนจากของหนึ่งหน่วยและเศษส่วนจากของหนึ่งกลุ่ม
               2. การทำให้เป็นเศษส่วนอย่างต่ำ นักเรียนคิดว่าเศษส่วนอย่างต่ำคือ เศษส่วนที่ไม่สามารถ
นำจำนวนใด ๆ มาหารได้อีก โดยนักเรียนไม่ได้คำนึงว่า จำนวนที่นำมาหารนั้นจะต้องเป็นจำนวน
เดียวกันทั้งเศษและส่วน
                3. การทำจำนวนคละให้เป็นเศษเกิน นักเรียนพยายามเปลี่ยนรูปจากจำนวนคละให้เป็น
เศษเกิน โดยไม่คำนึงถึงหลักการถูกต้อง
                4. การบวกและการลบเศษส่วน นักเรียนดำเนินการคล้ายการบวกและการลบจำนวนเต็ม โดยการนำตัวเศษบวกตัวเศษ และตัวส่วนบวกตัวส่วน
                5. การคูณเศษส่วน นักเรียนจำหลักการคูณที่กล่าวว่า การนำเศษคูณเศษและนำส่วนคูณ
ส่วน เมื่อพบปัญหาการคูณจำนวนเต็มด้วยเศษส่วน หรือการคูณเศษส่วนด้วยจำนวนเต็ม
นักเรียนจะพยายามนำจำนวนเต็มนั้น คูณทั้งเศษและส่วน
                6. การหารเศษส่วนพบปัญหาเช่นเดียวกับการคูณเศษส่วนคือ นักเรียนจำเพียงหลักการ
ที่กล่าวว่า เปลี่ยนเครื่องหมายหารเป็นเครื่องหมายคูณ จากนั้นกลับเศษเป็นส่วน และเมื่อพบ
ปัญหาการหารเศษส่วนด้วยจำนวนเต็ม นักเรียนคิดว่าการกลับเศษส่วนสามารถกลับได้เฉพาะ
ตัวที่เป็นเศษส่วน สำหรับอีกกรณีนั้นคือ การหารเศษส่วนด้วยเศษส่วนนักเรียนมักกลับเศษส่วนของตัวตั้ง

                เมื่อนักเรียนขาดความคิดรวบยอดในเนื้อหาต่าง ๆ ของเศษส่วนแล้ว ทำให้นักเรียนขาดทักษะการคิดคำนวณ เช่น นักเรียนไม่สามารถคิดคำนวณในเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของเศษส่วน และการดำเนินการของเศษส่วนได้อย่างถูกต้องตามหลักการ รวมทั้งไม่สามารถจัดลำดับขั้นตอนวิธีการนั้นอย่างเป็นระเบียบ ขาดกระบวนการคิดที่หลากหลาย ขาดความคล่องแคล่ว รวดเร็วและแม่นยำในการแก้ปัญหาเรื่องเศษส่วนด้วย
                สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว คาดว่าสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การสอนของครู    ที่มักสอนตามเนื้อหาจากเอกสารประกอบการเรียนการสอนซึ่งมีการเรียงลำดับเนื้อหาจากการทบทวนความรู้พื้นฐานของเศษส่วน การบวกลบเศษส่วน การบวกลบจำนวนคละ โจทย์ปัญหาการบวกลบเศษส่วน การคูณเศษส่วน การคูณจำนวนคละการหารเศษส่วน การหารจำนวนคละ โจทย์ปัญหาการคูณหารเศษส่วน การบวก ลบ คูณ หารเศษส่วนระคนและโจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณหารเศษส่วนระคน  ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าในการเรียงลำดับเนื้อหานั้น เรื่องจำนวนคละถูกจัดลำดับไว้ในตอนท้ายของเนื้อหาเรื่องการบวกลบเศษส่วน และเรื่องการคูณหารเศษส่วน ซึ่งการจัดเรียงเนื้อหาในลักษณะนี้ อาจส่งผลให้การเรียนรู้ของนักเรียนบางคนเกี่ยวกับจำนวนคละเกิดความไม่ต่อเนื่องกล่าวคือ นักเรียนลืมเกี่ยวกับการเปลี่ยนจำนวนคละให้เป็นเศษเกิน ดังนั้นเมื่อต้องเรียนเรื่องจำนวนคละที่จัดเรียงไว้แยกส่วนกัน จึงต้องมีการทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับการเปลี่ยนจำนวนคละให้เป็นเศษเกินในหลาย ๆ คาบซ้ำซ้อนกัน ทำให้เสียเวลาในการเรียนการสอน  ในส่วนของรูปแบบการนำเสนอของครูนั้น ครูส่วนใหญ่ให้นักเรียนรู้จักเศษส่วนจากสิ่งของหนึ่งหน่วยและเศษส่วนจากสิ่งของหนึ่งกลุ่ม จึงทำให้นักเรียนส่วนใหญ่เกิดความสับสนและขาดความชัดเจนต่อการทำความเข้าใจเนื้อหา ทำให้การเรียนรู้เนื้อหาเศษส่วนในเรื่องต่อไปเกิดข้อผิดพลาดด้วย สำหรับตำราเรียนหรือเอกสารที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนนั้น มีลักษณะที่ไม่ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเท่าที่ควรกล่าวคือ เอกสารประกอบการเรียนการสอนส่วนมากบอกนิยามหรือหลักการเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงยกตัวอย่างที่ไม่ซับซ้อนเพื่ออธิบายหลักการพร้อมให้แบบฝึกหัด ในขณะที่แบบฝึกหัดบางส่วนจะมีความยากและซับซ้อน ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ทำแบบฝึกหัดไม่ได้ทุกข้อ
สำหรับการฝึกทักษะการคิดคำนวณ ครูเน้นให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดมากกว่าการฝึกทักษะการคิดคำนวณ ทำให้นักเรียนขาดทักษะที่เพียงพอในการแก้ปัญหา เพราะในการทำแบบฝึกหัดนั้นจะต้องอาศัยทักษะหลายทักษะเช่น การบวกเศษส่วนที่มีส่วนไม่เท่ากัน นักเรียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและทักษะเกี่ยวกับการทำส่วนให้เท่ากัน การบวกเศษส่วนที่มีส่วนเท่ากันและเศษส่วนอย่างต่ำ เป็นต้น
                เมื่อครูได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุต่าง ๆ อย่างครบถ้วนแล้ว จึงควรแก้ปัญหานั้นให้ตรงจุดเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นและสามารถทำให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความหมายของเศษส่วนและการดำเนินการของเศษส่วน

บทความคณิตศาสตร์ นางศิวริน เกณทวี เลขที่ 19

ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
ใน ชีวิตประจำวันเราอยู่กับ เหตุการณ์ ต่าง ๆ และมีคำถามอยู่ในใจตลอดเวลา เช่น
                   - วันนี้จะไปดูหนังหรือไม่            - บางทีเราต้องไปเยี่ยมย่าวันนี้
                             - ฝนจะตกและน้ำจะท่วม                    - ทีมตระกร้อทีมใดจะได้เป็นแชมป์  
คำว่า " ความน่าจะเป็น " หรือ "probability" เป็นวิธีการวัดความไม่แน่นอนในรูปแบบคณิตศาสตร์ เช่น เมื่อโยนเหรียญ ความน่าจะเป็นของเหรียญที่จะออกหัวหรือก้อยเท่ากับ 0.5 ดังนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ นักอุตุนิยมวิทยาจึงใช้หลักการของความน่าจะเป็นเข้ามาทำนาย เช่น ความน่าจะเป็นของการเกิดฝนตกใน กรุงเทพมหานคร ในวันพรุ่งนี้มีค่าเท่ากับ 0.7 ความน่าจะเป็น เป็นค่าที่อาจมีความหมายที่หลายคนเข้าใจได้ไม่ยาก ความน่าจะเป็น เป็นศาสตร์ที่มีความละเอียดอ่อนที่จะนำไปประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ความน่าจะเป็นมีการกำหนดค่าเป็นเศษส่วนหรือเป็นเปอร์เซนต์หรือให้มีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 เช่น ถ้านำเหรียญบาท โยนลงบนพื้น โอกาสที่จะปรากฎหน้า 1 มีค่าเท่ากับ 1/2 หรือ 50 เปอร์เซนต์
ประวัติของความน่าจะเป็นแบบเบย์
ปิแยร์ ซิมง ลาปลาซ (1749 - 1827)
ชื่อเรียก "แบบเบย์" เพิ่งจะมาใช้ในราวปี ค.ศ. 1950 โดยมีต้นกำเนิดมาจากชื่อของ โทมัส เบย์
ผู้ซึ่งเสนอทฤษฎีบทของเบย์เป็นคนแรก (เท่าที่ทราบในประวัติศาสตร์). ในเวลาถัดมาปิแยร์ ซิมง ลาปลาซได้
เสนอทฤษฎีบทของเบย์เช่นกัน โดยในขณะนั้นลาปลาซไม่ทราบว่ามีงานของเบย์อยู่. ทฤษฎีบทของเบย์เวอร์ชัน
ลาปลาซถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางชนิดที่ตัวของเบย์เองก็อาจคาดไม่ถึง (ทั้งนี้เนื่องจากการแปลความหมายของ ความน่าจะเป็น ของลาปลาซนั้นกว้างมากอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในบทนำ) โดยลาปลาซได้นำไปในประยุกต์ใช้ในปัญหาของกลศาสตร์
, ดาราศาสตร์, สถิติการแพทย์ (medical statistics) หรือแม้แต่ นิติศาสตร์
ลาปลาซได้ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น(แบบเบย์) ในการทำนายมวลของดาวเสาร์โดยใช้ข้อมูลของวงโคจรดาวเสาร์ที่มีอยู่ในขณะนั้น โดยลาปลาซมั่นใจผลการทำนายมากถึงขนาดกล่าวว่า "ผมพนัน 1 ต่อ 11000 ว่ามวลของดาวเสาร์จะคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1/100 ของมวลที่ผม        คำนวณได้". ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ไปอีก 150 ปี ลาปลาซคงจะได้ทราบว่าตัวเองชนะพนัน เนื่องจากในเวลานั้นพบว่ามวลของดาวเสาร์มีความคลาดเคลื่อนจากผลการคำนวณของลาปลาซเพียง 0.63%. สังเกตว่าไม่มีทางที่เราจะใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ในปัญหานี้ได้เลย (ไม่สามารถสร้างการทดลองเชิงแนวคิดที่ว่า "ทดลองสร้างดาวเสาร์มา N ครั้ง มี M ครั้งที่ ..."
ได้อย่างสมเหตุสมผล)
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์  คือ  จำนวนที่แสดงให้ทราบว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง   มีโอกาสเกิดขึ้นมากหรือน้อยเพียงใด
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์   =  จำนวนผลที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์นั้นจำนวนผลทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สูตร
เมื่อ   P (E)   คือ  ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์  E
 
      n (E)   คือ  จำนวนผลที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์  E
       n ( S)  คือ  จำนวนผลทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
นางศิวริน  เกณทวี  หมู่เรียน วท.ม.ค.ศ.5  สาขาคณิตศาสตรศึกษา     เลขที่  19

บทความคณิตศาสตร์ นางสาวพันทิพา จันทร์เถื่อน

การแก้ปัญหาที่พบในการบวกลบจำนวนเต็ม
            ในการสอนเกี่ยวกับการบวก การลบจำนวนเต็ม เป็นปัญหามากสำหรับครูผู้สอน  มีนักเรียนระดับชั้น ม. 1 จำนวนไม่น้อยที่ยังเกิดความสับสนกับการบวก การลบจำนวนเต็ม    ซึ่งในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นักเรียนบวกลบเลขที่เป็นจำนวนเต็มบวกแต่เมื่อเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียนจะต้องเจอจำนวนเต็มลบ     และการบวก การลบจำนวนเต็มลบ   จึงเกิดความสับสน
            ผู้สอนจึงได้แบ่งนักเรียนออกเป็น  4  กลุ่มและได้แจกบัตรตัวเลขซึ่งมีจำนวนเต็มลบ   จำนวนเต็มบวก   เครื่องหมาย บวก   ลบ  ให้แก่นักเรียน    หลังจากนั้นแจกแถบประโยคคำสั่งให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 1 ชุด และให้นักเรียนทำตามคำสั่งในประโยคนั้น    ซึ่งในแต่ละชุดมีดังนี้
1)            จงนำจำนวนเต็มลบ  บวกกับจำนวนเต็มลบ เช่น   [(-3) + (-5)]  ผลลัพธ์ คือ (–8)
2)            จงนำจำนวนเต็มบวก ลบกับจำนวนเต็มลบ  เช่น    [9 – (-5) ]  ผลลัพธ์ คือ 14
3)           จงนำจำนวนเต็มลบบวกกับจำนวนเต็มบวก  เช่น   [ (-9) + 5]  ผลลัพธ์ คือ   (- 4)
4)           จงนำจำนวนเต็มลบ ลบกับจำนวนเต็มลบ   เช่น    [(-8) – (-5) ]  ผลลัพธ์ คือ  (-3)
หลังจากให้นักเรียนได้ได้จัดเรียงตามคำสั่งสักครู่หนึ่ง   ผู้สอนจะตั้งปัญหาให้เด็กคิด   ในประโยคคำสั่งหากต้องการคำตอบนักเรียนจะมีวิธีการหาอย่างไร  นักเรียนจะช่วยกันหาคำตอบแล้วจดวิธีการที่จะได้คำตอบลงในสมุด  เมื่อนักเรียนทำไปเรื่อยจากข้อ 1 ถึงข้อ 4   เสร็จ  ครูแจกคำตอบของแต่ละข้อ  เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของนักเรียน  เมื่อคำตอบที่ได้ไม่ตรงกับเฉลย  นักเรียนจะพยายามหาคำตอบให้เหมือนกับที่เฉลย  ผู้สอนจะคอยช่วยชี้แนะเกี่ยวกับการหาคำตอบ  จนนักเรียนสามารถหาคำตอบเองได้   
จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า  ผู้สอนต้องตั้งปัญหาให้นักเรียนคิดและหาคำตอบด้วยตัวเอง  ขณะที่พยายามแก้ปัญหา   ถ้ามีปัญหาย่อยเกิดขึ้นต้องแก้ปัญหาย่อยก่อน  หน้าที่ของผู้สอนคือจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้มากที่สุด  และ คอยช่วยเหลือเมื่อนักเรียนเกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขเองได้


                                                                        นางสาวพันทิพา   จันทร์เถื่อน      หมู่เรียน วท.ม.ค.ศ.5
                                                                        สาขาคณิตศาสตรศึกษา                 เลขที่  16