เพื่อใหการประเมินผลกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตรเป็นไปตามพระราชบัญญัติ การศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 อีกทั้งสอดคล้อง กับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา และถูกต้องตามหลักการประเมินผลการศึกษา อาจกําหนดขั้นตอนการ ประเมินผลการเรียนรูกลุ่มสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ดังนี้
2.1 วางแผนการประเมินผลการเรียนรู ผู้สอนและผูที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหารควร ร่วมกันพิจารณากําหนดรูปแบบและช่วงเวลาการประเมินผลใหเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค และเป้าหมายของการประเมิน
2.2 สร้างคําถามหรืองานและเกณฑการใหคะแนนใหสอดคล้องกับสาระการเรียนรูและ ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ถ้าผลการเรียนรูที่คาดหวังเน้นความรูความเข้าใจ การประยุกตความรูไปใชกับ สถานการณใหม วิธีการประเมินอาจกระทําไดในรูปการเขียนตอบ รูปแบบของคําถามอาจเป็นคําถาม ให้ค้นหาคําตอบ ให้พิสูจน์หรือแสดงเหตุผล ให้สร้างหรือตอบคําถามปลายเปิดที่เน้นการคิดแกปัญหาและเชื่อมโยงความรูหลายเรื่องเข้าด้วยกัน
ถ้าต้องการประเมินทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตรและการตระหนักในคุณค้า ของคณิตศาสตร์วิธีการประเมินอาจทําได้ในรูปการให้ผู้เรียนปฏิบัติจริง ผู้สอนสังเกตกระบวนการทํางาน การพูดแสดงความคิดของผู้ เรียนดูร่องรอยความชํานาญและความสามารถจากผลงานที่ปรากฏ คําถามหรืองานอาจอยูในรูปสถานการณหรือ ปัญหา ปัญหาปลายเปิดหรือโครงงานที่ผูเรียนคิดขึ้นเอง นอกจากนี้อาจใช้วิธีให้ผู้เรียนประเมินตนเองหรือประเมินโดย กลุ่มเพื่อน
การกําหนดเกณฑการใหคะแนนมี 2 แบบ คือ กําหนดเกณฑการใหคะแนน แบบ Analytic Scoring Scale และแบบ Holistic Scoring Scale เกณฑการใหคะแนนแบบแรกอยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห งานออกเป็นองคประกอบย่อยและกําหนดคะแนนสําหรับแตละองคประกอบย่อย ซึ่งการใหคะแนนแบบนี้ทําใหเห็นจุดเด่นและจุดด้อยของผูเรียนในแต่ละองค์ประกอบ สําหรับเกณฑ์การให้คะแนนแบบที่สองเป็นการกําหนดคุณภาพในองค์รวมหรือภาพรวมของงานทั้งหมด
2.3 จัดระบบข้อมูลจากการวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู ถ้าข้อมูลเป็นผลจาก การทําแบบทดสอบหรือเขียนตอบก็ควรเก็บรวบรวมในรูปคะแนน ถ้าข้อมูลอยูในรูปพฤติกรรมที่สังเกตได้ ก็ควรมีระบบการบันทึก แบบฟอร์มการบันทึกควรประกอบด้วย
- ส่วนนํา คือ การระบุ วัน เวลา สถานที่ ชื่อผูเรียน ผูสังเกต เรื่องที่เรียน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง
- ส่วนเนื้อหา คือ การบันทึกรายละเอียดของงานและพฤติกรรมตาง ๆ ของผูเรียนที่ปรากฏจริง
- ส่วนสรุป คือ การตีความเบื้องต้นของผู้สังเกต พร้อมทั้งระบุปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น การรวบรวมสารสนเทศเกี่ยวกับผลการเรียนรูของผู้เรียนต้องกระทําหลายครั้งและใช้ข้อมูลจากหลายด้าน
2.4 นําข้อมูลจากการวัดผลและประเมินผลมาวิเคราะหและสังเคราะห เพื่อใหได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยอาจจําแนกเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม รายประเภท (ความคิด รวบยอด กระบวนการ เจตคติ ฯลฯ ) และรายมาตรฐานการเรียนรู เมื่อได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้ว ผู้สอนควรมีระบบการบันทึก ข้อมูลของผู้เรียนแตละคน เพื่อการศึกษา ติดตามพัฒนาการตั้งแตเมื่อเริ่มเข้ารับการศึกษาจนสําเร็จการศึกษา
3 วิธีการและตัวอย่างเครื่องมือในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรูคณิตศาสตร
การวัดผลและประเมินผลต้องดําเนินการควบคูไปกับกระบวนการเรียนรู เพื่อนําผลมา ปรับปรุงการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียน ดังนั้นในการทําแผนการจัดการเรียนรู ผู้สอนต้องกําหนด ภาระงานและวิธีการที่จะทําใหผู้เรียนไดปฏิบัติใหสอดคล้องกับผลการเรียนรูที่คาดหวัง วิธีการวัดผลและ ประเมินผลการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ผู้สอนควรเลือกใช ได้แก การวัดผลและประเมินผลด้วยวิธีการสื่อสาร ส่วนบุคคล (Personal Communication) การวัดผลและประเมินผลดวยแบบทดสอบ (Test) การวัดผลและ ประเมินผลจากการปฏิบัติ (Practical Assessment) การวัดผลและประเมินผลตามสภาพจริง และการประเมินผลด้วยแฟ้มสะสมงาน (Authentic Assessment and Portfolio)
3.1 การวัดผลและประเมินผลด้วยวิธีการสื่อสารส่วนบุคคล (Personal Communication)
เป็นกระบวนการวัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สนองตอบการเรียนรู ที่หลากหลายของผู้เรียน ซึ่งจะทําใหผู้สอนเข้าใจกระบวนการเรียนรูของผู้เรียนและสามารถนํามาใชเป็นแนวทางปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนผู้เรียนใหสามารถเรียนรูตามความสนใจและความถนัดของตนเอง ซึ่งผู้สอนสามารถใชวิธีการ เช่น การถามตอบ การสนทนาพบปะพูดคุยกับผู้เรียน การสนทนาพบปะพูดคุย กับผู้เกี่ยวข้องกับผู้เรียน การอ้านบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ของผู้เรียน การตรวจแบบฝึกหัดและ การบ้าน และการสอบปากเปล่าเพื่อประเมินความรู เป็นต้น
♦ การถามตอบ เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความรูความเข้าใจ ทักษะ ในเรื่องที่เรียน ระหว่างดําเนินกิจกรรมการเรียนรู สามารถประเมินกระบวนการคิด การใหเหตุผลของผู้เรียน ผู้สอนควรเตรียมคํา ถามล่วงหน้าที่มีความชัดเจน กระชับ ถามใหผู้เรียนแสดงความคิดเห็น คิดวิเคราะห ไม่ถามคําถามที่เน้นความจํา ตัวอย่างคําถามที่เน้นใหนักเรียนคิดให้เหตุผล
♦ การสนทนาพบปะพูดคุยกับผู้เรียน เป็นการพูดคุยกับผูเรียนเกี่ยวกับความรู้สึก ความคิดเห็นของสาระการเรียนรู้ที่ปฏิบัติกิจกรรม เพื่อนําข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการพัฒนา ผู้เรียนหรือกระบวนการจัดการเรียนรูของผูสอนใหถูกต้องชัดเจนต่อไป
♦ การสนทนาพบปะพูดคุยกับผูเกี่ยวข้องกับผู้เรียน เป็นการพูดคุยเพื่อต้องการทราบข้อมูลพื้นฐานด้านการเรียน ด้านเจตคติของผู้เรียน สําหรับการนํามาใชในการแกไขส่งเสริมพัฒนา เช่น การอ่านหนังสือที่บ้าน การทําแบบฝึกหัด ฯลฯ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน ควรเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้เรียนมากที่สุด เช่น พ่อ แม ผู้ปกครอง หรืออาจเป็นเพื่อนสนิท
♦ การอ่านบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ของผู้เรียนในกรณีที่ผู้เรียนบันทึกเหตุการณต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร ผู้สอนนําบันทึกนั้นมาอ่านเพื่อนําข้อมูลมาประเมินความสามารถทางคณิตศาสตรทั้งด้านความรูและเจตคติ แล้วนําผลการประเมินมาใช้พัฒนาผู้เรียน เช่น ข้อมูลด้านการซื้อ-ขาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้เรียนนําคณิตศาสตรไปใชในชีวิตประจําวัน ข้อมูลด้านเวลา
เป็นข้อมูลที่ผูเรียนสามารถเขียน อ่าน โดยมีความเข้าใจในด้านเวลาหากข้อมูลเหล่านั้นผู้เรียนทําไมถูกต้อง
ผู้สอนสามารถชี้แนะผู้เรียนคนนั้นใหปรับปรุงพัฒนา หรืออาจนําไปใชวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู
ใหถูกต้องมากขึ้น
ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร ผู้สอนนําบันทึกนั้นมาอ่านเพื่อนําข้อมูลมาประเมินความสามารถทางคณิตศาสตรทั้งด้านความรูและเจตคติ แล้วนําผลการประเมินมาใช้พัฒนาผู้เรียน เช่น ข้อมูลด้านการซื้อ-ขาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้เรียนนําคณิตศาสตรไปใชในชีวิตประจําวัน ข้อมูลด้านเวลา
เป็นข้อมูลที่ผูเรียนสามารถเขียน อ่าน โดยมีความเข้าใจในด้านเวลาหากข้อมูลเหล่านั้นผู้เรียนทําไมถูกต้อง
ผู้สอนสามารถชี้แนะผู้เรียนคนนั้นใหปรับปรุงพัฒนา หรืออาจนําไปใชวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู
ใหถูกต้องมากขึ้น
♦ การตรวจแบบฝึกหัดและการบ้าน ผู้สอนต้องตรวจแบบฝึกหัดของผูเรียน ทุกขั้นตอน ที่ผู้เรียนทําแล้วชี้แนะในส่วนที่ผิดพลาดหรือส่วนที่ผู้เรียนต้องพัฒนา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ ถูกต้องใหกับผู้เรียน
3.2 การวัดผลและประเมินผลด้วยแบบทดสอบ (Test) เป็นการวัดผลและประเมินผลที่ ต้องการวัดความรู้ความสามารถทางสติปัญญาด้านความรู้ความจํา ความเข้าใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะหและการประเมินค่า เนื่องจากสาระการเรียนรูกลุ่มคณิตศาสตร์นี้ แบบทดสอบยังมีความสําคัญอยู่มากเพราะ คณิตศาสตรมีสาระการเรียนรู้ที่ต้องเรียนรู้ไปตามลําดับขั้น ก่อนที่ผู้เรียนจะเรียน สาระการเรียนรูที่สูงขึ้นต้องมีพื้นฐานความรู้ที่เกี่ยวข้องเพียงพอเสียก่อน ซึ่งแบบทดสอบสามารถใชเป็นเครื่องมือวัดผลและประเมินผลได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ผู้สอนควรเลือกให้เหมาะสมกับจุดมุ่ง หมายที่ต้องการวัดผลและประเมินผล โดยทั่วไปแบบทดสอบมี 2 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 แบบทดสอบแบบเขียนตอบ ได้แก
♦ แบบทดสอบแบบไม่จํากัดคําตอบ เป็นแบบทดสอบที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็น อธิบายอย่างอิสระ โดยตั้งคําถามใชคําว่า ให้อธิบาย อภิปราย เปรียบเทียบ วิเคราะห แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ สรุป วางแผน ออกแบบการทดลอง ตั้งสมมุติฐาน ตั้งเกณฑตัดสิน ประเมินผล แสดงวิธีทํา หรือแสดงวิธีการแกปัญหา เป็นต้น
♦ แบบทดสอบแบบจํากัดคําตอบ เป็นแบบทดสอบที่ต้องการคําตอบที่ เฉพาะเจาะจง มีการกําหนดขอบเขตของการตอบ โดยตั้งคําถามใชคําว่า ให้อธิบายสาเหตุ ยกตัวอย่าง เขียนวิธีการสร้าง การพิสูจน์ ลําดับเรื่องราว ลําดับเหตุการณ จําแนก อธิบาย ความหมายหรือนิยาม เป็นต้น
♦ แบบทดสอบแบบตอบสั้นหรือเติมคํา/ข้อความ เป็นแบบทดสอบที่ข้อสอบ แต่ละข้อ กําหนด ข้อความที่ขาดความสมบูรณ ซึ่งอาจเป็นข้อความ คําหลักวิชา กฎเกณฑ ผลการคํานวณ ฯลฯ ผู้สอบต้องเติมคําตอบในช่องที่เว้นว่างไวใหสอดคล้องกับข้อความที่กําหนดและเมื่ออ่านแล้วต้องมีความหมาย สมบูรณ์ถูกต้องตามหลักวิชา
ประเภทที่ 2 แบบทดสอบแบบเลือกตอบ ได้แก
♦ แบบถูก - ผิด เป็นแบบทดสอบที่ผูสอบต้องพิจารณาว่า ถูกหรือผิดเท่านั้น เหมาะสําหรับการสอบที่ข้อความมีทางเลือกเพียงสองทาง หรือต้องการถามมากข้อแต่มีเวลาจํากัด
♦ แบบจับคู เป็นแบบทดสอบที่มี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นชุดของคําถามและส่วน
ที่เป็นชุดของคําตอบ เหมาะสําหรับข้อสอบที่ต้องการหาความสัมพันธของเรื่องราว เหตุการณ เหตุกับผล กฎกับการประยุกต สัญลักษณ์กับความหมาย โดยชุดของคําตอบควรมีรายการมากกว่าชุดของคําถาม
♦ แบบมีตัวเลือก เปนแบบทดสอบที่ขอสอบแตละขอมีคําถามและตัวเลือก
♦ แบบจับคู เป็นแบบทดสอบที่มี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นชุดของคําถามและส่วน
ที่เป็นชุดของคําตอบ เหมาะสําหรับข้อสอบที่ต้องการหาความสัมพันธของเรื่องราว เหตุการณ เหตุกับผล กฎกับการประยุกต สัญลักษณ์กับความหมาย โดยชุดของคําตอบควรมีรายการมากกว่าชุดของคําถาม
♦ แบบมีตัวเลือก เปนแบบทดสอบที่ขอสอบแตละขอมีคําถามและตัวเลือก
ใหเลือก เช่น 3 ตัวเลือก 4 ตัวเลือก หรือ 5 ตัวเลือก โดยมีตัวเลือกที่ถูกเพียงตัวเลือกเดียว ส่วนตัวเลือกอื่น ๆ
เป็นตัวลวง ถ้าแบบทดสอบนี้สร้างขึ้นอย่างมีคุณภาพจะมีประสิทธิภาพในการวัดผลและประเมินผลสูง และเหมาะกับการวัดสมรรถภาพสมองขั้นสูง เช่น ความสามารถในการใชเหตุผล การอธิบาย การคิดคํานวณ การทํานายเหตุการณ
แบบทดสอบที่กล่าวมาข้างต้นนี้โดยส่วนใหญผู้สอนคุ้นเคยกันดี แต่หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้ความสําคัญกับการวัดผลและประเมินผลการเรียนรูด้วยแบบทดสอบแบบเขียนตอบ เพราะแบบทดสอบแบบเขียนตอบจะทําให้ได้สารสนเทศของผู้เรียนที่บ่งบอกถึงความสามารถในการนําไปใช การวิเคราะห และการสังเคราะห์ได้ดี แต่แบบทดสอบแบบเขียนตอบมีจุดอ่อนอยูที่การตรวจใหคะแนน ผู้สอนต้องใชวิธีการตรวจใหคะแนนที่น่าเชื่อถือไดนั่นคือการกําหนดเกณฑ การตรวจใหคะแนน เกณฑการตรวจใหคะแนนที่มีคุณภาพนั้นไม่ ว่าใครเป็นผู้ตรวจคะแนนที่ได้ย่อมเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน ซึ่งแบบทดสอบแบบเขียนตอบเหมาะสําหรับการวัดผลและประเมินผลสาระการเรียนรู กลุ่มคณิตศาสตรทุกสาระ เพื่อให้การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์สามารถนํา ผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และปรับปรุงแก้ไขกระบวนการเรียนรูให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งใช้ในการพิจารณาตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ผู้สอนควรดําเนินการเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบเพื่อวัดผลและประเมินผลการเรียนรูกลุ่มสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ดังนี้
- วิเคราะหความสัมพันธระหว่างจุดประสงคการเรียนรู ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายป
- ออกข้อสอบให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
- กําหนดเกณฑการตรวจให้คะแนน
- กําหนดเกณฑการประเมินผ่านผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายข้อ
- จัดทําแบบสรุปผลการประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายข้อ
3.3 การวัดผลและประเมินผลจากการปฏิบัติ (Practical Assessment) เป็นวิธีการ
วัดผลและประเมินผลที่ผู้สอนมอบหมายงานหรือกิจกรรมใหผู้เรียนทําเพื่อให้ไดข้อมูลสารสนเทศว้า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจประเมินจากทักษะกระบวนการ วิธีการ ผลงาน หรือทั้งทักษะกระบวนการ วิธีการ และผลงานร่วมกัน ตัวอย่างการปฏิบัติงานคณิตศาสตร เช่น การชั่งน้ำหนัก การตวง การวัดความยาว การทดลอง รายงาน การสร้างรูปเรขาคณิต การสร้างแผนภูมิ การค้นคว้าข้อมูล โครงงาน การสร้างแบบจําลอง ฯลฯ
วัดผลและประเมินผลที่ผู้สอนมอบหมายงานหรือกิจกรรมใหผู้เรียนทําเพื่อให้ไดข้อมูลสารสนเทศว้า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจประเมินจากทักษะกระบวนการ วิธีการ ผลงาน หรือทั้งทักษะกระบวนการ วิธีการ และผลงานร่วมกัน ตัวอย่างการปฏิบัติงานคณิตศาสตร เช่น การชั่งน้ำหนัก การตวง การวัดความยาว การทดลอง รายงาน การสร้างรูปเรขาคณิต การสร้างแผนภูมิ การค้นคว้าข้อมูล โครงงาน การสร้างแบบจําลอง ฯลฯ
วิธีการวัดผลและประเมินผลจากการปฏิบัติ
ผู้สอนสามารถใชวิธีการ เช่น การสังเกตและการจดบันทึก แบบตรวจสอบรายการ และมาตรประมาณค่า
เป็นต้น
ผู้สอนสามารถใชวิธีการ เช่น การสังเกตและการจดบันทึก แบบตรวจสอบรายการ และมาตรประมาณค่า
เป็นต้น
♦ การสังเกตและการจดบันทึก เป็นเครื่องมือที่ใชประเมินทักษะกระบวนการ
วิธีการผลงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับตัวผู้เรียนจากการสังเกตแล้วจดบันทึกเหตุการณ์ไว
ตามที่มองเห็น ไม่มีการบันทึกความคิดเห็นส่วนตัว แล้วนําบันทึกการสังเกตมาใช้ในการประเมินภายหลัง
♦ แบบตรวจสอบรายการ เป็นเครื่องมือที่ใชประเมินโดยการสังเกตพฤติกรรม การแสดงออกในการปฏิบัติงานตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามลักษณะเฉพาะของงานด้วยการประเมินในช่องที่แสดง ว่ามีหรือไม่มี ใชหรือไม่ใชเคยหรือไม่เคยแสดงพฤติกรรมตามรายการเหล่านั้นหรือไม่ซึ่งผู้เรียนอาจประเมินตนเองโดยใช้แบบตรวจสอบรายการลักษณะนี้ได
♦ มาตรประมาณค่า เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินโดยการสังเกตพฤติกรรมการ แสดงออกในการปฏิบัติงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เช่นเดียวกับแบบตรวจสอบรายการ แต่มีความแตกต่างกันตามลักษณะเฉพาะของงานด้วยการประเมินในช่องที่แสดงว่ามีหรือไม่มี ใช่หรือไม่ใช เคยหรือไม่เคย แสดงพฤติกรรมตามรายการเหล่านั้นหรือไม เป็นการประเมินตามระดับคุณภาพของการปฏิบัติ เช่น ดี มาก ดี พอใช ควรปรับปรุง หรือระดับคุณภาพเป็น 4 3 2 1 คะแนน
3.4 การวัดผลและประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็น กระบวนการวัดผลและประเมินผลการปฏิบัติที่รวบรวมข้อมูลจากการสังเกต การจดบันทึกการทํางานและผลงานที่ผูเรียนแสดงออกมาตามสภาพที่แท้จริงควบคูไปกับการเรียนการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จในการเรียนรู เพราะผูเรียนแต่ละคนมีพฤติกรรมการเรียนรู แตกต่างกันดังนั้น ผู้สอนต้องใช้เครื่องมือวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนรูความต้องการ ความถนัด ความสนใจของผู้เรียนเพื่อใหผู้เรียนได้เรียนรู้เต็มศักยภาพของตนเอง เครื่องมือการวัดผลและประเมินผลตามสภาพจริงได้แก แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสํารวจรายการ แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน แบบสัมภาษณ แบบบันทึก แบบวัดเจตคติ แบบวัดความสนใจ แบบวัดคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ
เครื่องมือที่เสนอผ่านมาแล้ว สามารถนํามาใชในการประเมินตามสภาพจริงได
3.5 การประเมินผลด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
การประเมินผลด้วยแฟ้มสะสมงาน เป็นการประเมินผลผลิตของผู้เรียนที่ได้ เก็บรวบรวมไว้ อย่าง เป็นระบบ โดยมีจุดประสงคเพื่อแสดงถึงความสามารถ กระบวนการ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และความก้าวหน้า โดยผู้เรียนมีโอกาสคัดเลือกผลงานที่มีความหมายโดยตรงเพื่อสื่อ ความหมายและความสัมพันธระหว่างผู้เรียนกับคน อื่นๆ (ครู ผู้ปกครอง เพื่อน และผู้สนใจ) การจัดกิจกรรมการเรียนรูคณิตศาสตรควรเน้นเนื้อหาตามลําดับขั้น มีแนวคิด หลักการนิยาม กฎ การประยุกตและการนําไปใช้ในชีวิตจริง การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนจึงอยู่ที่ขั้นตอนกระบวนการคิด ความถูกต้องด้วยเหตุผลทางคณิตศาสตร ไม่คํานึงถึงคําตอบสุดท้ายเพียง อยางเดียว ผูสอนควรเลือกใชวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย สอดคลองกับสภาพจริงและเหมาะสมกับผูเรียน เช่น การประเมินผลการปฏิบัติงาน การทดสอบด้วยแบบทดสอบ การสังเกตพฤติกรรม บันทึกส่วนตัว ฯลฯ โดยใช้เครื่องมือที่กําหนดเกณฑ์ไวอย่างชัดเจน เพื่อวัดผลและประเมินผลพัฒนาการด้าน ต่าง ๆ ทั้งด้านความรู ทักษะ/กระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค ด้วยการเขียนคําอธิบายรายละเอียด การปฏิบัติของชิ้นงานตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนควบคู่ไปกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับบริบท สะดวก คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยผู้สอน ผู้เรียน เพื่อน ผู้ปกครองและผู้สนใจได้มีส่วนร่วมในการวัดผลและประเมินผลผู้เรียนแล้วบันทึกผลการประเมินลงใน แบบบันทึกที่สถานศึกษากําหนดไวเป็นหลักฐานต่อไป
ผู้เรียนจึงอยู่ที่ขั้นตอนกระบวนการคิด ความถูกต้องด้วยเหตุผลทางคณิตศาสตร ไม่คํานึงถึงคําตอบสุดท้ายเพียง อยางเดียว ผูสอนควรเลือกใชวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย สอดคลองกับสภาพจริงและเหมาะสมกับผูเรียน เช่น การประเมินผลการปฏิบัติงาน การทดสอบด้วยแบบทดสอบ การสังเกตพฤติกรรม บันทึกส่วนตัว ฯลฯ โดยใช้เครื่องมือที่กําหนดเกณฑ์ไวอย่างชัดเจน เพื่อวัดผลและประเมินผลพัฒนาการด้าน ต่าง ๆ ทั้งด้านความรู ทักษะ/กระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค ด้วยการเขียนคําอธิบายรายละเอียด การปฏิบัติของชิ้นงานตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนควบคู่ไปกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับบริบท สะดวก คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยผู้สอน ผู้เรียน เพื่อน ผู้ปกครองและผู้สนใจได้มีส่วนร่วมในการวัดผลและประเมินผลผู้เรียนแล้วบันทึกผลการประเมินลงใน แบบบันทึกที่สถานศึกษากําหนดไวเป็นหลักฐานต่อไป
4 การสร้างเกณฑการให้คะแนน (Scoring Rubric)
การสร้างเกณฑการให้คะแนน (Rubric) ครูและนักเรียนควรจะสร้างเกณฑการใหคะแนน
ร่วมกัน ซึ่งควรจะดําเนินการสร้างเกณฑการให้คะแนนก่อนที่นักเรียนจะไดลงมือปฏิบัติงานชิ้นนั้น ๆ
เกณฑการใหคะแนน นอกจากจะใชเป็นเครื่องมือในการให้คะแนนแล้ว ยังสามารถใชเป็นเครื่องมือในการสอน
อีกด้วย เพราะเกณฑการให้คะแนนเปรียบเสมือนเป้าหมายในการประเมินผลที่นักเรียนจะต้องทราบ การประเมินการปฏิบัติงานควรกําหนดเกณฑการให้คะแนนที่ชัดเจน ซึ่งเกณฑ์ในการให้คะแนนจะต้องมีระดับ
คะแนนที่แน่นอน และมีคําอธิบายบรรยายถึงคุณลักษณะของการปฏิบัติตามระดับนั้น ๆ อย่างชัดเจน เนื่องจาก ระดับของเกณฑ์การให้คะแนนจะบอกถึงคุณลักษณะที่สําคัญให้แกครู เพื่อน ผู้ปกครองและบุคคลอื่น ๆ ที่สนใจทําให้รู้ว่านักเรียนทําอะไรไดบ้าง และยังช่วยนักเรียนบรรลุเป้าหมายของเรียนรู การสร้างเกณฑ์การให คะแนน มี 2 แบบ ดังนี้
ร่วมกัน ซึ่งควรจะดําเนินการสร้างเกณฑการให้คะแนนก่อนที่นักเรียนจะไดลงมือปฏิบัติงานชิ้นนั้น ๆ
เกณฑการใหคะแนน นอกจากจะใชเป็นเครื่องมือในการให้คะแนนแล้ว ยังสามารถใชเป็นเครื่องมือในการสอน
อีกด้วย เพราะเกณฑการให้คะแนนเปรียบเสมือนเป้าหมายในการประเมินผลที่นักเรียนจะต้องทราบ การประเมินการปฏิบัติงานควรกําหนดเกณฑการให้คะแนนที่ชัดเจน ซึ่งเกณฑ์ในการให้คะแนนจะต้องมีระดับ
คะแนนที่แน่นอน และมีคําอธิบายบรรยายถึงคุณลักษณะของการปฏิบัติตามระดับนั้น ๆ อย่างชัดเจน เนื่องจาก ระดับของเกณฑ์การให้คะแนนจะบอกถึงคุณลักษณะที่สําคัญให้แกครู เพื่อน ผู้ปกครองและบุคคลอื่น ๆ ที่สนใจทําให้รู้ว่านักเรียนทําอะไรไดบ้าง และยังช่วยนักเรียนบรรลุเป้าหมายของเรียนรู การสร้างเกณฑ์การให คะแนน มี 2 แบบ ดังนี้
แบบที่ 1 เกณฑ์การให้คะแนนในภาพรวม (Holistic Rubric) เป็นแนวทางการให้คะแนน โดยพิจารณาจากภาพรวมของชิ้นงาน จะมีคําอธิบายลักษณะของงานในแต่ละระดับไวอย่างชัดเจนเกณฑ์การใหคะแนนในภาพรวมนี้เหมาะที่จะใชในการประเมินความสามารถที่มีความต่อเนื่อง มีลักษณะเป็น องค์รวม เช่น ทักษะการเขียนอธิบาย ความคิดสรางสรรค
แบบที่ 2 เกณฑ์การให้คะแนนแบบแยกส่วน (Analytic Rubric) คือแนวทางการใหคะแนนโดยพิจารณาจากแต่ละส่วนของงาน ซึ่งแต่ละส่วนต้องกําหนดแนวทางการใหคะแนนโดยมี คําอธิบายลักษณะของงาน ส่วนนั้น ๆ ในแต่ละระดับไวอย่างชัดเจน เกณฑ์การให้คะแนนที่สร้างขึ้นทั้งการประเมินในภาพรวมและการประเมินแบบแยกส่วน ต้องมีความชัดเจนอย่างพอเพียงถึงขนาดที่ผู้ประเมินอย่าง น้อย 2 คนสามารถใช้เกณฑ์การให้คะแนนชุด เดียวกันประเมินชิ้นงานของนักเรียนชิ้นเดียวกันแล้วคะแนนที่ไดต้องตรงกันระดับของความสอดคล้องใน
การให้คะแนนของผู้ประเมินอย่างน้อย 2 คนที่ประเมินอย่างเป็นอิสระจากกันจะเรียกว่า ความเชื่อมั่น (Reliability) ของการประเมิน
♦ ขั้นตอนการสร้างเกณฑ์การใหคะแนน
การสร้างเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubric) มีขั้นตอนดังนี้
1) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเกณฑการให้คะแนน
2) ศึกษาเนื้อหาสาระการเรียนรู/จุดประสงคการเรียนรู/มาตรฐานการเรียนรูของวิชา คณิตศาสตร
3) สร้างเกณฑ์การให้คะแนน
4) ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเกณฑ์การให้คะแนน
5) ทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไข
6) นําเกณฑไปใชจริง และหาคาความเชื่อมั่น
7) สรางคูมือการใชเกณฑ
♦ เทคนิคการสรางเกณฑการใหคะแนน
การสร้างเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubric) ในแต่ละระดับคุณภาพควรมีคําอธิบาย ที่ชัดเจน โดยมีการกําหนดคุณลักษณะ ดังนี้
1) ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคุณลักษณะหรือหนึ่งมิติที่เป็นพื้นฐานในการตัดสินผู้เรียน
2) การนิยามและการยกตัวอย่างจะต้องมีความชัดเจนในแต่ละคุณลักษณะหรือมิติ
3) เกณฑ / ประเด็นที่ประเมิน ต้องเป็นประเด็นสําคัญของงานเท่านั้น
4) ต้องมีความสอดคล้องกันระหว่าง เกณฑ / ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนนกับจุดมุ่งหมาย ของการประเมิน
5) คําอธิบายคุณภาพงานในแต่ละระดับ ต้องสามารถสังเกตได้ประเมินได
6) ระบบการให้ระดับคะแนนต้องมีความเป็นไปได คําอธิบายต้องแยกจากกันอย่างชัดเจน ทุกฝ่ายควรมีส่วนร่วมในการกําหนดเกณฑ์การให้คะแนน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น